วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

เงื่อนไขส่วนลดและค่าส่งสินค้า



                 1  เงื่อนไขเกี่ยวกับส่วนลด (Discount)  เป็นเงื่อนไขที่ผู้ขายให้ส่วนลดกับผู้ซื้อ เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ซื้อ ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมากหรือจูงใจให้ผู้ซื้อชำระหนี้โดยเร็ว เงื่อนไขเกี่ยวกับส่วนลด แบ่งเป็น 2 ประเภท  ได้แก่
                      1.1 ส่วนลดการค้า (Trade Discount)  เป็นส่วนลดที่ผู้ขายกระตุ้นหรือจูงใจให้ผู้ซื้อ ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมาก ๆ โดยผู้ขายตั้งเกณฑ์ไว้เพื่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจ เช่นซื้อสินค้า  5  ชิ้น ขึ้นไป แถม 1 ชิ้น หรือซื้อสินค้า 500 บาท  ลดให้ 5% แต่ถ้าซื้อสินค้าตั้งแต่ 501 – 1,000  บาท  ลดให้ 10% หรือกำหนดอัตราส่วนลดเป็นร้อยละจากราคาที่กำหนดไว้ในใบแสดงรายการสินค้า ส่วนลดการค้าผู้ขายจะลดให้ผู้ซื้อในขณะที่ซื้อขายสินค้า ผู้ขายเรียกส่วนลดนี้ว่า “ส่วนลดการค้า” ส่วนลดการค้านี้จะไม่นำมาบันทึกบัญชี แต่จะนำไปหักออกจากราคาซื้อขายสินค้าเพื่อหาราคาสุทธิทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะบันทึกบัญชีในราคาสุทธิ
                      1.2 ส่วนลดเงินสด (Cash Discount) เป็นส่วนลดที่ผู้ขายลดให้แก่ผู้ซื้อทันที ที่ชำระหนี้ค่าสินค้า หลังจากผู้ซื้อได้ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ เพื่อเป็นการกระตุ้นหรือจูงใจให้ผู้ซื้อชำระเงินค่าสินค้าโดยเร็วก่อนวันครบกำหนด ส่วนลดเงินสดนี้อาจจะกำหนดหรือไม่กำหนดไว้ในเงื่อนไขในการชำระเงินก็ได้ แล้วแต่ผู้ซื้อกับผู้ขายจะตกลงกัน
                  การกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระเงิน (Credit Terms/Terms of Payment) เป็นเงื่อนไขที่ผู้ขายกำหนดระยะเวลาในการชำระเงินค่าสินค้า เพื่อจูงใจให้ผู้ซื้อชำระเงินค่าสินค้าโดยเร็ว ภายในกำหนดเวลาตามเงื่อนไขที่จะได้รับส่วนลด ดังตัวอย่าง
ตัวอย่างเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระเงิน และความหมายที่กำหนดในเอกสาร 
เงื่อนไข
ความหมาย
n /30
ให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับสินค้า
2/10, n/30
ให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับสินค้า แต่ถ้าชำระหนี้ภายใน 10 วันจะลดให้ 2%
n / EOM
(End of month)
ให้ชำระหนี้ภายในวันสิ้นเดือนของเดือนที่ซื้อสินค้า
2/10 ,EOM
ให้ชำระหนี้ภายในวันสิ้นเดือนของเดือนถัดไป แต่ถ้าชำระหนี้ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป จะลดให้ 2%
2/10 EOM, n/60
ให้ชำระหนี้ภายใน 60 วัน นับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับสินค้าแต่ถ้าชำระหนี้ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดเดือนที่ซื้อสินค้า จะลดให้ 2%
                 การนับวันครบกำหนดชำระหนี้  เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันตามเงื่อนไขในการชำระเงินค่าสินค้าแล้ว ควรจะคำนวณวันครบกำหนด เพื่อทางด้านผู้ซื้อจะได้ทราบวันที่จะต้องนำเงินไปชำระวันที่เท่าใด และจำนวนเงินเท่าไรจะได้วางแผนการจัดหาเงิน และรักษาผลประโยชน์ของกิจการในเรื่องของส่วนลดเงินสด  ส่วนด้านผู้ขายจะได้ทราบวันที่จะได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อ หรือจะได้ติดตามทวงถามได้ถูกต้อง ในเงื่อนไขอาจกำหนดวันครบกำหนดไว้แน่นอน เช่น วันสิ้นเดือนก็ไม่ต้องหาวันครบกำหนด  แต่บางกรณีกำหนดเป็นวัน  เช่น  30  วัน,  45 วัน 60 วัน ควรจะหาวันครบกำหนดไว้ล่วงหน้า
                  การนับวันครบกำหนด มีขั้นตอนการคำนวณดังนี้
                      1.  นำวันสุดท้ายของเดือนที่มีการซื้อขายสินค้าเป็นตัวตั้ง
                      2.  นำวันที่มีการซื้อขายสินค้าเป็นตัวหัก
                      3.  นำจำนวนวันที่ยังขาดอยู่ของเดือนถัดไปมาบวกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบกำหนดตามเงื่อนไขที่ตกลง
ส่วนลดเงินสดมี 2 ประเภท คือ
                        1)  ส่วนลดรับ (Purchase Discount) เป็น ส่วนลดที่ผู้ขายลดให้ผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อนำเงินมาชำระให้ผู้ขายภายในเวลาที่กำหนดไว้ ตามเงื่อนไขที่ได้ส่วนลด ส่วนลดเงินสดทางด้านผู้ซื้อ เรียกว่าส่วนลดรับ เป็นยอดที่ไปหักจากยอดซื้อสินค้าทำให้ต้นทุนของสินค้าที่ซื้อลดลง
                        2)  ส่วนลดจ่าย (Sales Discount) เป็นส่วนลดที่ผู้ขายลดให้ผู้ซื้อเมื่อผู้ซื้อชำระหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อเป็นเงินเชื่อ ตามในเงื่อนไขภายในระยะเวลาที่ให้ส่วนลด ด้านผู้ขาย เรียกส่วนลดเงินสดว่าส่วนลดจ่าย การที่ผู้ขายให้ส่วนลดแก่ผู้ซื้อ มีผลทำให้รายได้จากการขายสินค้าลดลง เพราะส่วนลดจ่ายเป็นรายการที่นำไปหักรายได้จากการขายสินค้า
                  2 เงื่อนไขค่าขนส่งสินค้า  (Terms of Transportation) เป็นเงื่อนไขที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันในการการส่งมอบสินค้าซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งเรียกว่า “ค่าขนส่ง” ทั้งผู้ซื้อกับผู้ขายต้องทำการตกลงกันให้ชัดเจนว่าค่าขนส่งสินค้าจะเป็นภาระหรือหน้าที่ของฝ่ายใด โดยระบุเงื่อนไขในการขนส่งสินค้า ดังนี้
                       2.1  F.O.B Shipping point   เป็นเงื่อนไขในการขนส่งสินค้าที่ผู้ขายได้ส่งมอบสินค้า ณ กิจการของผู้ขาย กรรมสิทธ์ในสินค้าจึงเป็นของผู้ซื้อนับตั้งแต่ผู้ขายส่งมอบสินค้าให้ ดังนั้น ผู้ซื้อต้องเป็นผู้รับภาระในการจ่ายค่าขนส่งสินค้าเรียกว่า “ค่าขนส่งเข้า” ถือว่าเป็นต้นทุนของสินค้าที่ซื้อ
                       2.2  F.O.B Destination   เป็นเงื่อนไขในการส่งมอบสินค้าปลายทาง ณ กิจการ ของผู้ซื้อ ดังนั้นสินค้ายังเป็นกรรมสิทธ์ของผู้ขายจนกว่าผู้ขายจะส่งมอบสินค้าให้กับผู้ซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว   ดังนั้นผู้ขายต้องเป็นผู้รับภาระในการจ่ายค่าขนส่งสินค้า เรียกว่า “ค่าขนส่งออก” ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการขาย