วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

เงื่อนไขส่วนลดและค่าส่งสินค้า



                 1  เงื่อนไขเกี่ยวกับส่วนลด (Discount)  เป็นเงื่อนไขที่ผู้ขายให้ส่วนลดกับผู้ซื้อ เพื่อเป็นการจูงใจให้ผู้ซื้อ ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมากหรือจูงใจให้ผู้ซื้อชำระหนี้โดยเร็ว เงื่อนไขเกี่ยวกับส่วนลด แบ่งเป็น 2 ประเภท  ได้แก่
                      1.1 ส่วนลดการค้า (Trade Discount)  เป็นส่วนลดที่ผู้ขายกระตุ้นหรือจูงใจให้ผู้ซื้อ ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมาก ๆ โดยผู้ขายตั้งเกณฑ์ไว้เพื่อให้ผู้ซื้อตัดสินใจ เช่นซื้อสินค้า  5  ชิ้น ขึ้นไป แถม 1 ชิ้น หรือซื้อสินค้า 500 บาท  ลดให้ 5% แต่ถ้าซื้อสินค้าตั้งแต่ 501 – 1,000  บาท  ลดให้ 10% หรือกำหนดอัตราส่วนลดเป็นร้อยละจากราคาที่กำหนดไว้ในใบแสดงรายการสินค้า ส่วนลดการค้าผู้ขายจะลดให้ผู้ซื้อในขณะที่ซื้อขายสินค้า ผู้ขายเรียกส่วนลดนี้ว่า “ส่วนลดการค้า” ส่วนลดการค้านี้จะไม่นำมาบันทึกบัญชี แต่จะนำไปหักออกจากราคาซื้อขายสินค้าเพื่อหาราคาสุทธิทั้งผู้ซื้อและผู้ขายจะบันทึกบัญชีในราคาสุทธิ
                      1.2 ส่วนลดเงินสด (Cash Discount) เป็นส่วนลดที่ผู้ขายลดให้แก่ผู้ซื้อทันที ที่ชำระหนี้ค่าสินค้า หลังจากผู้ซื้อได้ซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อ เพื่อเป็นการกระตุ้นหรือจูงใจให้ผู้ซื้อชำระเงินค่าสินค้าโดยเร็วก่อนวันครบกำหนด ส่วนลดเงินสดนี้อาจจะกำหนดหรือไม่กำหนดไว้ในเงื่อนไขในการชำระเงินก็ได้ แล้วแต่ผู้ซื้อกับผู้ขายจะตกลงกัน
                  การกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระเงิน (Credit Terms/Terms of Payment) เป็นเงื่อนไขที่ผู้ขายกำหนดระยะเวลาในการชำระเงินค่าสินค้า เพื่อจูงใจให้ผู้ซื้อชำระเงินค่าสินค้าโดยเร็ว ภายในกำหนดเวลาตามเงื่อนไขที่จะได้รับส่วนลด ดังตัวอย่าง
ตัวอย่างเงื่อนไขเกี่ยวกับการชำระเงิน และความหมายที่กำหนดในเอกสาร 
เงื่อนไข
ความหมาย
n /30
ให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับสินค้า
2/10, n/30
ให้ชำระหนี้ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับสินค้า แต่ถ้าชำระหนี้ภายใน 10 วันจะลดให้ 2%
n / EOM
(End of month)
ให้ชำระหนี้ภายในวันสิ้นเดือนของเดือนที่ซื้อสินค้า
2/10 ,EOM
ให้ชำระหนี้ภายในวันสิ้นเดือนของเดือนถัดไป แต่ถ้าชำระหนี้ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดไป จะลดให้ 2%
2/10 EOM, n/60
ให้ชำระหนี้ภายใน 60 วัน นับจากวันที่ปรากฏในใบกำกับสินค้าแต่ถ้าชำระหนี้ภายในวันที่ 10 ของเดือนถัดเดือนที่ซื้อสินค้า จะลดให้ 2%
                 การนับวันครบกำหนดชำระหนี้  เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันตามเงื่อนไขในการชำระเงินค่าสินค้าแล้ว ควรจะคำนวณวันครบกำหนด เพื่อทางด้านผู้ซื้อจะได้ทราบวันที่จะต้องนำเงินไปชำระวันที่เท่าใด และจำนวนเงินเท่าไรจะได้วางแผนการจัดหาเงิน และรักษาผลประโยชน์ของกิจการในเรื่องของส่วนลดเงินสด  ส่วนด้านผู้ขายจะได้ทราบวันที่จะได้รับชำระเงินค่าสินค้าจากผู้ซื้อ หรือจะได้ติดตามทวงถามได้ถูกต้อง ในเงื่อนไขอาจกำหนดวันครบกำหนดไว้แน่นอน เช่น วันสิ้นเดือนก็ไม่ต้องหาวันครบกำหนด  แต่บางกรณีกำหนดเป็นวัน  เช่น  30  วัน,  45 วัน 60 วัน ควรจะหาวันครบกำหนดไว้ล่วงหน้า
                  การนับวันครบกำหนด มีขั้นตอนการคำนวณดังนี้
                      1.  นำวันสุดท้ายของเดือนที่มีการซื้อขายสินค้าเป็นตัวตั้ง
                      2.  นำวันที่มีการซื้อขายสินค้าเป็นตัวหัก
                      3.  นำจำนวนวันที่ยังขาดอยู่ของเดือนถัดไปมาบวกเข้าไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบกำหนดตามเงื่อนไขที่ตกลง
ส่วนลดเงินสดมี 2 ประเภท คือ
                        1)  ส่วนลดรับ (Purchase Discount) เป็น ส่วนลดที่ผู้ขายลดให้ผู้ซื้อ เมื่อผู้ซื้อนำเงินมาชำระให้ผู้ขายภายในเวลาที่กำหนดไว้ ตามเงื่อนไขที่ได้ส่วนลด ส่วนลดเงินสดทางด้านผู้ซื้อ เรียกว่าส่วนลดรับ เป็นยอดที่ไปหักจากยอดซื้อสินค้าทำให้ต้นทุนของสินค้าที่ซื้อลดลง
                        2)  ส่วนลดจ่าย (Sales Discount) เป็นส่วนลดที่ผู้ขายลดให้ผู้ซื้อเมื่อผู้ซื้อชำระหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อเป็นเงินเชื่อ ตามในเงื่อนไขภายในระยะเวลาที่ให้ส่วนลด ด้านผู้ขาย เรียกส่วนลดเงินสดว่าส่วนลดจ่าย การที่ผู้ขายให้ส่วนลดแก่ผู้ซื้อ มีผลทำให้รายได้จากการขายสินค้าลดลง เพราะส่วนลดจ่ายเป็นรายการที่นำไปหักรายได้จากการขายสินค้า
                  2 เงื่อนไขค่าขนส่งสินค้า  (Terms of Transportation) เป็นเงื่อนไขที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันในการการส่งมอบสินค้าซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายในการขนส่งเรียกว่า “ค่าขนส่ง” ทั้งผู้ซื้อกับผู้ขายต้องทำการตกลงกันให้ชัดเจนว่าค่าขนส่งสินค้าจะเป็นภาระหรือหน้าที่ของฝ่ายใด โดยระบุเงื่อนไขในการขนส่งสินค้า ดังนี้
                       2.1  F.O.B Shipping point   เป็นเงื่อนไขในการขนส่งสินค้าที่ผู้ขายได้ส่งมอบสินค้า ณ กิจการของผู้ขาย กรรมสิทธ์ในสินค้าจึงเป็นของผู้ซื้อนับตั้งแต่ผู้ขายส่งมอบสินค้าให้ ดังนั้น ผู้ซื้อต้องเป็นผู้รับภาระในการจ่ายค่าขนส่งสินค้าเรียกว่า “ค่าขนส่งเข้า” ถือว่าเป็นต้นทุนของสินค้าที่ซื้อ
                       2.2  F.O.B Destination   เป็นเงื่อนไขในการส่งมอบสินค้าปลายทาง ณ กิจการ ของผู้ซื้อ ดังนั้นสินค้ายังเป็นกรรมสิทธ์ของผู้ขายจนกว่าผู้ขายจะส่งมอบสินค้าให้กับผู้ซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว   ดังนั้นผู้ขายต้องเป็นผู้รับภาระในการจ่ายค่าขนส่งสินค้า เรียกว่า “ค่าขนส่งออก” ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการขาย

วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

หน่วยที่ 5  การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม 
การคำนวณและการบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม 
1.     ภาษีขายและภาษีซื้อ 
ภาษีขาย (OutputTax)หมายความว่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนได้เรียกเก็บหรือพึงเรียกเก็บจากผู้ซื้อสินค้าหรือผู้รับบริการเมื่อขายสินค้าหรือรับชำระค่าบริการ หากภาษีขายเกิดขึ้นในเดือนใดก็เป็นภาษีขายของเดือนนั้น โดยไม่คำนึงว่าสินค้าที่ขายหรือบริการที่ให้นั้นจะซื้อมาหรือเป็นผลมาจากการผลิตในเดือนใดก็ตาม
ภาษีซื้อ (Input Tax) หมายความว่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้ประกอบกิจการได้จ่ายให้ผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการที่เป็นผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนเมื่อซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการเพื่อใช้ในการประกอบกิจการของตน หากภาษีซื้อเกิดขึ้นในเดือนใดถือเป็นภาษีซื้อของเดือนนั้นโดยไม่คำนึงว่าสินค้าที่ซื้อมานั้นจะขายหรือนำไปใช้ในการผลิตในเดือนใดก็ตาม
ภาษีซื้อที่ห้ามนำมาหักภาษีขายในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีดังต่อไปนี้
1.1  กรณีไม่มีใบกำกับภาษีหรือไม่อาจแสดงใบกำกับภาษีได้ว่ามีการชำระภาษีซื้อ เว้นแต่จะเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนดตามหลักเกณฑ์ดังนี้
1.1.1  ใบกำกับภาษีถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย เช่น อัคคีภัย อุทกภัย หรือ          วาตภัย ซึ่งต้องมีหลักฐานทางราชการ หรือหลักฐานอื่นที่เชื่อถือได้ว่าเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจริง
1.1.2  ผู้ประกอบกิจการไม่สามารถขอใบแทนใบกำกับภาษีได้ เนื่องจากผู้ขายสินค้าหรือผู้ให้บริการ ไม่สามารถออกใบแทนใบกำกับภาษีได้เพราะเหตุสุดวิสัย
1.2  กรณีใบกำกับภาษีมีข้อความไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ในส่วนที่เป็นสาระสำคัญตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
1.3  ภาษีซื้อที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการของผู้ประกอบกิจการตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ได้แก่ ภาษีซื้อที่ไม่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือกิจการโดยเฉพาะ
1.4  ภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรอง หรือเพื่อการอันมีลักษณะทำนองเดียวกันตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด หลักเกณฑ์และเงื่อนไขมีดังนี้
1.4.1  ค่ารับรองหรือค่าบริการไม่ว่าจะจ่ายเพื่อการรับรองหรือให้บริการแก่บุคคลใด และไม่ว่าจะอำนวยประโยชน์แก่กิจการหรือไม่ก็ตาม เช่น ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม ค่ามหรสพ ค่าใช้จ่ายเพื่อการกีฬา และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในทำนองเดียวกัน
1.4.2  ค่าสิ่งของหรือประโยชน์ที่ให้แก่บุคคลซึ่งได้รับรองหรือบริการตาม ข้อ1.4.1 และบุคคลอื่น
ในกรณีบริษัทประกอบกิจการขายสินค้าได้จัดอาหารเลี้ยงรับรองลูกค้าที่มาซื้อสินค้า ดังนี้ภาษีซื้อเกี่ยวกับค่าอาหารดังกล่าวนำมาหักออกจากภาษีขายไม่ได้ เนื่องจากเป็นภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายเพื่อการรับรอง แต่ในกรณีที่บริษัท ก ประกอบกิจการนำเที่ยวได้มีการเลี้ยงอาหารแก่ลูกค้า ดังนี้มีปัญหาว่าจะนำภาษีซื้อเกี่ยวกับค่าอาหารมาหักออกจากภาษีขายได้หรือไม่ ปัญหานี้มีแนวทางปฏิบัติว่าบริษัท ก มีสิทธินำมาหักออกจากภาษีขายได้ เนื่องจากเป็นภาษีซื้อที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการ จึงมีสิทธินำมาหักออกจากภาษีขายได้
อนึ่ง ในกรณีที่บริษัทส่งบัตรอวยพรและกระเช้าของขวัญ หรือสิ่งของจับสลากสำหรับลูกค้า โดยบริษัทผู้ให้จะคำนึงถึงการเพิ่มยอดขาย ดังนี้ภาษีซื้อที่เกิดขึ้นเป็นภาษีซื้อที่มิได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการประกอบกิจการ จึงต้องห้ามนำไปหักออกจากภาษีขาย (มาตรา 82/5(3)) และประกาศอธิบดีฯ (ฉบับที่ 17) แต่ถ้าหากว่าของขวัญหรือของชำร่วยมีชื่อของบริษัทผู้ให้ชื่อการค้าหรือเครื่องหมายการค้าของผู้ให้ปรากฏอยู่ โดยของขวัญหรือของชำร่วยดังกล่าวเป็นสิ่งของที่ให้แก่กันตามประเพณีทางธุรกิจทั่วไป และต้องมีราคาหรือมูลค่าไม่เกินสมควร ดังนี้ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อของขวัญหรือของชำร่วยดังกล่าวเป็นภาษีซื้อที่ไม่ต้องห้ามนำไปหักออกจากภาษีขายก็เนื่องจากของขวัญหรือของชำร่วยดังกล่าวมีเครื่องหมายการค้าของบริษัท ถือเป็นการโฆษณาบริษัท จึงเป็นภาษีซื้อที่เข้าลักษณะเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ
หมายเหตุ ข้อ 1, 2, 3 และ 4 ดังกล่าวข้างต้น เป็นไปตามมาตรา 82/5(3) และประกาศอธิบดีฯ    (ฉบับที่ 17) ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2534
1.5  ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีซึ่งออกโดยผู้ไม่มีสิทธิออกใบกำกับภาษี เช่น ผู้ที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแบบไม่เต็มรูป เป็นต้น
1.6  ภาษีซื้อตามที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีตามมาตรา 82/5 (6) ประกาศอธิบดีกรมสรรพกรฯ (ฉบับที่ 42 และฉบับที่ 50) กำหนดไว้ดังนี้
1.6.1  ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ เช่าซื้อ เช่า หรือรับโอนรถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต และภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือการรับบริการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตประกาศอธิบดีฯ (ฉบับที่ 71) พ.ศ. 2539 ห้ามนำ ภาษีซื้อที่เกิดจากการเช่ารถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารรวมทั้งภาษีซื้อสำหรับสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ดังกล่าวไปหักออก โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม 2539
แต่หากผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนประกอบกิจการขายรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต หรือประกอบกิจการให้เช่ารถยนต์ดังกล่าวของตนเองโดยตรง หรือประกอบกิจการบริการรับประกันวินาศภัยรถยนต์ดังกล่าว (แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีฯ (ฉบับที่ 88)) ผู้ประกอบกิจการดังกล่าวสามารถนำภาษีซื้อจากการซื้อรถยนต์มาขายหรือจากการได้รับบริการประกันวินาศภัยมาหักออกจากภาษีขายได้ นอกจากนั้นปัจจุบันผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนที่ประกอบกิจการให้เช่ารถยนต์แบบลิสซิ่ง ยังสามารถนำภาษีซื้อรถยนต์ในการประกอบกิจการให้เช่าแบบลิสซิ่งมาหักออกจากภาษีขายได้ ซึ่งไม่เป็นภาษีซื้อต้องห้าม
1.6.2  ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีอย่างย่อ
1.6.3  ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อทรัพย์สินเพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีซื้อที่เกิดจากรายจ่ายของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
1.6.4  ภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ในกิจการ บางประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และต่อมาได้ขายหรือให้เช่า หรือนำไปใช้ในกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ทั้งนี้เฉพาะที่ได้กระทำภายใน 3 ปี นับแต่เดือนภาษีที่ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์
1.6.5  ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษี ซึ่งคำว่า “ใบกำกับภาษี” มิได้ตีพิมพ์หรือมิได้จัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ
1.6.6 ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีมิได้จัดทำขึ้นตามวิธีการตามประกาศอธิบดีกรสรรพากร (ฉบับที่ 39 และฉบับที่ 52) เช่น กรณีใบกำกับภาษีที่ระบุที่อยู่ของสำนักงานใหญ่ แต่สาขาได้จัดทำใบกำกับภาษี จะต้องมีข้อความว่า “สาขาที่ออกใบกำกับภาษี คือ ...” หรือกรณีที่สถานบริการน้ำมันจะต้องระบุเลขทะเบียนรถยนต์ไว้ในใบกำกับภาษี
1.6.7  ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษี ซึ่งมีรายการในใบกำกับภาษีเป็นสำเนา (COPY) แต่ไม่รวมถึงใบกำกับภาษีที่ได้จัดทำรวมกับเอกสารการค้าอื่นซึ่งมีจำนวนหลายฉบับ และใบกำกับภาษีซื้อมีรายการในใบกำกับภาษีเป็นสำเนามีข้อความว่า “เอกสารออกเป็นชุด” ปรากฏอยู่ด้วย
1.6.8  ภาษีซื้อส่วนที่เฉลี่ยเป็นของกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งได้คำนวณตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
1.6.9  ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อสินค้าหรือรับบริการ ซึ่งผู้ประกอบกิจการ จดทะเบียนนำไปใช้ในกิจการทั้งประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนดังกล่าวใช้สิทธิเลือกไม่นำภาษีซื้อทั้งหมดไปหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากกิจการประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มมีรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ของกิจการทั้งหมด
1.6.10    ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษี ซึ่งรายการในใบกำกับภาษีได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลง เว้นแต่รายการซึ่งได้ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดตามคำสั่งสรรพากรที่ ป. 46/2537 ดังนี้
1)    การแก้ไขที่อยู่ของผู้ออกใบกำกับภาษี พร้อมกับลงลายมือชื่อผู้ออกใบกำกับ     การแก้ไข ทั้งนี้เฉพาะใบกำกับภาษีที่ออกในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ทางราชการได้ประกาศเปลี่ยนแปลงชื่อถนน หมู่บ้าน ตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขต หรือจังหวัด หรือได้ทำการแบ่งเขตถนน หมู่บ้าน ตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขต หรือจังหวัดใหม่
2)    การแก้ไขที่อยู่ของผู้ออกใบกำกับภาษีด้วยวิธีการประทับตรายางที่อยู่ที่ถูกต้องเพิ่มเติม ทั้งนี้เฉพาะใบกำกับภาษีที่ได้ออกในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ทางราชการได้ประกาศเปลี่ยนแปลงชื่อถนน หมู่บ้าน ตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขต หรือจังหวัด หรือได้ทำการแบ่งเขตถนน หมู่บ้าน ตำบลหรือแขวง อำเภอหรือเขต หรือจังหวัดใหม่
3)    การแก้ไขเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ออกใบกำกับภาษี พร้อมทั้งลงลายมือชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีกำกับการแก้ไข หรือประทับตรายางเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องเพิ่มเติม ทั้งนี้เฉพาะใบกำกับภาษีที่ได้ออกในช่วงระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน นับแต่วันที่กรมสรรพากรได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรให้ใหม่
4)    การแก้ไขจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือการบริการ และมูลค่าของสินค้าหรือการบริการที่รวมจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมกับลงลายมือชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีกำกับการแก้ไข ทั้งนี้เฉพาะใบกำกับภาษีที่ออกโดยรัฐวิสาหกิจซึ่งมิใช่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
5)    การแก้ไขวัน เดือน ปีที่ออกใบกำกับภาษี อันเนื่องมาจากการปรับปรุงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 พร้อมกับลงลายมือชื่อผู้ออกใบกำกับภาษีกำกับ การแก้ไข หรือประทับตรายางวัน เดือน ปีที่ถูกต้องเพิ่มเติม ทั้งนี้เฉพาะใบกำกับภาษีที่จัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และให้แก้ไขได้ภายในวันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 2000
16.11     ภาษีซื้อที่เกิดจากการซื้อ – เช่าซื้อ หรือรับโอนรถยนต์ที่มิใช่รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต เพื่อใช้หรือจะใช้ในกิจการประเภทที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม และต่อมาได้มีการดัดแปลงรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้เฉพาะที่ได้กระทำภายใน 3 ปี นับแต่เดือนภาษีที่ได้รับรถยนต์ไว้ในครอบครอง ซึ่งมิให้ใช้บังคับสำหรับการขายรถยนต์นั่งและรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต และการให้บริการเช่ารถยนต์ดังกล่าวของตนเองโดยตรง
1.6.12    ภาษีซื้อตามใบกำกับภาษีซึ่งชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนที่ออกใบกำกับภาษีมิได้ตีพิมพ์ขึ้น หรือมิได้จัดทำขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในกรณีจัดทำใบกำกับภาษีขึ้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฉบับ 
2.     การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม
การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มมีวิธีการคำนวณดังนี้
2.1  ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7 ถือเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนแบบเต็มรูป การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องชำระแต่ละเดือนเป็นดังนี้
ภาษีที่ต้องชำระ = ภาษีขาย - ภาษีซื้อ
ตัวอย่าง บริษัท ผุสดี จำกัด เป็นบริษัทซื้อสินค้าสำเร็จรูปมาขาย ในเดือนเมษายน 25X9 บริษัทซื้อสินค้า 20,000 บาท และซื้อวัสดุสำนักงานเพื่อใช้ในกิจการราคา 1,500 บาท บริษัทขายสินค้าได้ในราคา 40,000 บาท ในเดือนเมษายน 25X9 การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจะเป็นดังนี้
2.2  กรณีการซื้อและการขายเกิดในเดือนเดียวกัน 
วิธีคำนวณภาษี
ภาษีที่ต้องชำระ
=
ภาษีขาย - ภาษีซื้อ



ภาษีขาย
=
40,000×7%
=
2,800
บาท
ภาษีซื้อ
=
(20,000×7%) + (1,500×7%)




=
1,400 + 105
=
1,505
บาท
ภาษีที่ต้องชำระ
=
2,800 – 1,505
=
1,295
บาท

จากการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งเป็นของเดือนเมษายน 25X9 จำนวน 1,295 บาท ภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 25X9 ให้แก่กรมสรรพากร
2.3  กรณีการซื้อและการขายเกิดขึ้นคนละเดือน สมมติว่าบริษัท ผุสดี จำกัด            ขายสินค้าได้ในเดือนพฤษภาคม 25X9
วิธีการคำนวณภาษีของเดือนเมษายน 25X9 (เดือนที่ซื้อ)
ภาษีที่ต้องชำระ
=
ภาษีขาย - ภาษีซื้อ



ภาษีขาย
=
0
=
0
บาท
ภาษีซื้อ
=
(20,000×7%) + (1,500×7%)




=
1,400 + 105
=
1,505
บาท
ภาษีที่ต้องชำระ
=
0 – 1,505
=
-1,505
บาท
               
จากการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย ดังนั้นสามารถขอคืนภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 25X9 หรือขอเครดิตภาษีเพื่อนำเงินจำนวนนี้ไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของเดือนพฤษภาคม 25X9 ก็ได้
วิธีคำนวณภาษีของเดือนพฤษภาคม 25X7 (เดือนที่ขาย)
ภาษีที่ต้องชำระ
=
ภาษีขาย - ภาษีซื้อ



ภาษีขาย
=
40,000×7%
=
2,800
บาท
ภาษีซื้อ
=
0



ภาษีที่ต้องชำระ
=
2,800 – 0
=
2,800
บาท
               
จากการคำนวณภาษีในเดือนพฤษภาคม 25X9 ผู้ประกอบการไม่ได้จ่ายภาษีซื้อ ดังนั้นจึงต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่ม 2,800 บาท ภายในวันที่ 15 มิถุนายน 25X9
ภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการจดทะเบียนในอัตราร้อยละ 7 จะไม่ถือเป็นค่าใช้จ่าย เพราะภาษีที่ผู้ประกอบการจ่ายไปเป็นภาษีซื้อซึ่งสามารถขอคืนได้ทั้งหมด โดยนำไปหักจากภาษีขายที่ผู้ประกอบการมีหน้าที่นำส่งกรมสรรพากร ภาษีมูลค่าเพิ่มนี้เป็นภาระของผู้บริโภคไม่ใช่ของผู้ประกอบการ ดังนั้นภาษีมูลค่าเพิ่มจึงไม่ถือเป็นค่าใช้จ่ายที่รวมอยู่ในต้นทุนของสินค้าหรือบริการ หรือค่าใช้จ่าย
2.4  ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ผู้ประกอบการประเภทนี้เป็นผู้ประกอบการในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเต็มรูปแบบเช่นเดียวกับผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7  การคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละเดือนมีวิธีการคำนวณเช่นเดียวกับผู้ประกอบการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7
ภาษีที่ต้องชำระ = ภาษีขาย - ภาษีซื้อ
                ผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 จะไม่มีภาษีขาย เนื่องจากภาษีขายเท่ากับราคาขายคูณด้วยร้อยละ 0 จะมีค่าเป็น 0 แต่ภาษีซื้อจะมีอยู่ทุกครั้งที่ซื้อ              ถ้าซื้อจากผู้ประกอบกิจการจดทะเบียน ผลจากการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มจะติดลบ (-) คือ ภาษีซื้อมากกว่าภาษีขาย จึงได้รับคืนภาษีเท่ากับภาษีซื้อ
ตัวอย่าง บริษัท สุรัมภา จำกัด เป็นบริษัทผลิตเฟอร์นิเจอร์เพื่อส่งออก ในเดือนเมษายน 25X7 บริษัทซื้อไม้ซึ่งเป็นวัตถุดิบทางตรง 300,000 บาท และซื้อวัสดุสิ้นเปลือง ได้แก่ Latex และ Lacquer ซึ่งเป็นวัตถุดิบทางอ้อม 20,000 บาท บริษัทส่งเฟอร์นิเจอร์ไปต่างประเทศในเดือนเมษายน 25X7 ราคาขาย 500,000 บาท
วิธีคำนวณภาษี
ภาษีที่ต้องชำระ
=
ภาษีขาย - ภาษีซื้อ



ภาษีขาย
=
500,000×0%
=
0
บาท
ภาษีซื้อ
=
(300,000×7%) + (20,000×7%)




=
21,000 + 1,400
=
22,400
บาท
ภาษีที่ต้องชำระ
=
0 – 22,400
=
-22,400
บาท

จากการคำนวณในเดือนเมษายน 25X9 ผู้ประกอบกิจการมีสิทธิขอภาษีคืน 22,400 บาท           โดยยื่นขอคืนภายในวันที่ 15 พฤษภาคม 25X9

3.  การบันทึกบัญชีภาษีมูลค่าเพิ่ม
เมื่อกิจการจดทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม การจัดทำบัญชียังคงต้องปฏิบัติตามหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป เช่น ใช้เกณฑ์สิทธิในการบันทึกบัญชีกรณีการเกิดขึ้นของรายได้ เมื่อมีการส่งมอบสินค้าหรือให้บริการแก่ลูกค้า และกรณีการเกิดรายการอื่น ๆ ก็ใช้หลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปเช่นเดียวกัน ดังนั้นหลักการบัญชีที่รองรอบทั่วไปจึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ต้องจัดทำเอกสารและรายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มซึ่งมีความสัมพันธ์กับรายการค้าหรือข้อมูลทางบัญชี รวมทั้งมีผลกระทบต่อรูปแบบข้อมูลที่ใช้บันทึกในเอกสารประกอบกิจการลงบัญชี และในสมุดบัญชีที่ต้องจัดทำตามกฎหมายบัญชีและหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไป กล่าวคือทำให้รูปแบบของรายงานข้อมูล การจัดเตรียม และการจัดเก็บเอกสารประกอบกิจการลงบัญชีซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบบัญชีเปลี่ยนแปลงไป เช่น ใบส่งของ ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้ที่เกี่ยวกับการซื้อ ขาย การรับคืน และการส่งคืน ต้องมีข้อมูลภาษีซื้อและภาษีขายเข้ามาเกี่ยวข้อง กิจการจึงจำเป็นต้องมีการเพิ่มเติมข้อมูลให้เป็นใบกำกับภาษี หรือต้องจัดทำใบกำกับภาษี แยกต่างหาก
นอกจากนี้รายการรับเงิน การจ่ายเงิน การซื้อ และการขาย จะบันทึกรายการในสมุดรายวันรับเงิน สมุดรายวันจ่ายเงิน สมุดรายวันซื้อ สมุดรายวันขาย สมุดรายวันรับคืน และสมุดรายวันส่งคืน ก็จำเป็นต้องมีการดัดแปลงรูปแบบให้มีจำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มในรายการซื้อและ ขาย หรือมีรายงานภาษีซื้อและรายงานภาษีขายในสมุดรายวันขั้นต้นที่เกี่ยวข้อง หรือจัดทำรายงานภาษีซื้อ รายงานภาษีขายเพิ่มขึ้นมาแยกต่างหากจากการบันทึกบัญชีที่มีอยู่ และกิจการยังต้องจัดทำรายงานสินค้าและวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถใช้บัญชีสินค้าที่อยู่ในครอบครองแทนได้ ตามกฎหมายบัญชีได้กำหนดให้จัดทำให้เสร็จเร็วกว่าข้อกำหนดตามกฎหมายบัญชี สำหรับการจัดเก็บเอกสารใบกำกับภาษี กิจการจะต้องจัดเก็บแยกต่างหากจากเอกสารอื่น
การบันทึกบัญชีเกี่ยวกับรายการภาษีมูลค่าเพิ่มและการแสดงรายการทางการเงินมีหลักเกณฑ์ดังนี้
3.1  รายการเกี่ยวกับภาษีขาย
รายการเกี่ยวกับภาษีขายมีรายละเอียดดังนี้
3.1.1  การขายสินค้าเป็นเงินสดและเงินเชื่อ
1)    เมื่อมีการขายสินค้า บันทึกการขายและจัดทำรายงานภาษีขาย
เดบิต      เงินสดหรือลูกหนี้การค้า     XX
เครดิต    ขาย                              XX
ภาษีขาย                                    XX
2)    เมื่อได้รับชำระราคาสินค้าไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
เดบิต      เงินสดหรือธนาคาร                 XX
                เครดิต    ลูกหนี้การค้า          XX
3)    เมื่อรับคืนสินค้าและได้ออกใบลดหนี้แล้ว บันทึกการรับคืนและจัดทำรายงานภาษีขาย
เดบิต      รับคืน             XX
                ภาษีขาย      XX
                เครดิต    เงินสดหรือลูกหนี้การค้า   XX
4)    เมื่อรับชำระหนี้จากลูกหนี้การค้าและให้ส่วนลดเงินสด
เดบิต      เงินสดหรือธนาคาร                XX
                ส่วนลดจ่าย                      XX
                เครดิต    ลูกหนี้การค้า        XX
5)    เมื่อมีการขายสินค้าโดยวิธีเช่าซื้อหรือโดยวิธีผ่อนชำระ
5.1)    ณ วันทำสัญญา และได้รับเงินวางเริ่มแรก
เดบิต      เงินสด                             XX
ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ                    XX            
เครดิต    ขาย                                 XX
ภาษีขาย (ตามจำนวนเงินที่ได้รับ)        XX
ดอกเบี้ยเช่าซื้อรอตัดบัญชี                  XX
ภาษีขายที่ยังไม่ครบกำหนด                XX
5.2)    การรับรู้รายได้ในแต่ละงวด
เดบิต      ดอกเบี้ยเช่าซื้อรอตัดบัญชี    XX
                เครดิต    ดอกเบี้ยเช่าซื้อ                                                     XX        
5.3)    เมื่อได้รับชำระเงินในแต่ละงวด
เดบิต      เงินสด                                        XX
                ภาษีขายที่ยังไม่ครบกำหนด          XX
                เครดิต    ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อ  XX
                                ภาษีขาย                  XX
6)    การจำหน่ายหนี้สูญ การบันทึกภาษีมูลค่าเพิ่มส่วนที่ตัดเป็น หนี้สูญที่เข้าข่ายตามข้อกำหนดตามประมวลรัษฎากรนั้น พิจารณาได้เป็น 2 กรณีดังนี้
6.1)    กรณีที่ข้อกำหนดตามประมวลรัษฎากรให้นำภาษีขายส่วนที่ตัดเป็นหนี้สูญไปขอเครดิตได้
เดบิต      หนี้สูญ                          XX
                ภาษีขาย                    XX
                เครดิต    ลูกหนี้การค้า     XX
                                และ
เดบิต      ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ      XX
                เครดิต    หนี้สงสัยจะสูญ     XX
6.2)    กรณีที่ข้อกำหนดตามประมวลรัษฎากรให้ขอคืนภาษีขายส่วนที่ตัดเป็นหนี้สูญแล้วเป็นเงินสดได้
เดบิต      หนี้สูญ                           XX
                ลูกหนี้กรมสรรพากร        XX
                เครดิต    ลูกหนี้การค้า    XX
                                และ
เดบิต      ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ          XX
                เครดิต    หนี้สงสัยจะสูญ   XX
3.1.2  การขายสินค้าที่ไม่มีรูปร่างและการให้บริการเป็นเงินเชื่อ
1)    เมื่อมีการให้บริการเป็นเงินเชื่อหรือการขายสินค้าที่ไม่มีรูปร่าง บันทึกรายได้และออกใบแจ้งหนี้
เดบิต      ลูกหนี้การค้า          XX
                เครดิต    รายได้จากการให้บริการ           XX
                                ภาษีขายที่ยังไม่ครบกำหนด  XX
2)    เมื่อรับชำระหนี้จากลูกหนี้การค้าและจัดทำรายงานภาษีขาย
                  เดบิต      เงินสดหรือธนาคาร   XX
                  เครดิต    ลูกหนี้การค้า           XX
                                   และ
                   เดบิต      ภาษีขายที่ยังไม่ครบกำหนด   XX
                  เครดิต    ภาษีขาย    XX